Chapter 1 : Part of Speech
- Click ดูเฉลย Noun
- Click ดูเฉลย Verb
- Click ดูเฉลย Adjective
- Click ดูเฉลย Adverb of Manner
- Click ดูเฉลย Adverb of Place
- Click ดูเฉลย Adverb of Time
- Click ดูเฉลย Adverb of Frequency
- Click ดูเฉลย Adverb of Degree
- Click ดูเฉลย Pronoun
- Click ดูเฉลย Preposition
- Click ดูเฉลย Conjunction
Chapter 2 : DeterminerChapter 3 : Tense
You are watching: Grammar Go! แจกเฉลย Exercise พร้อมคำอธิบายละเอียด!
- Click ดูเฉลย Present Simple
- Click ดูเฉลย Present Continuous
- Click ดูเฉลย Present Perfect
- Click ดูเฉลย Present Perfect Continuous
- Click ดูเฉลย Past Simple
- Click ดูเฉลย Past Continuous
- Click ดูเฉลย Past Perfect
- Click ดูเฉลย Past Perfect Continuous
- Click ดูเฉลย Future Simple
- Click ดูเฉลย Future Continuous
- Click ดูเฉลย Future Perfect
- Click ดูเฉลย Future Perfect Continuous
Chapter 4 : Sentence StructureChapter 5 : QuestionChapter 6 : Negative SentenceChapter 7 : Imperative SentenceChapter 8 : Subject-Verb AgreementChapter 9 : Subjunctive SentenceChapter 10 : Reported SpeechChapter 11 : Relative ClauseChapter 12 : ParticiplesChapter 13 : Active-Passive VoiceChapter 14 : ComparisonChapter 15 : If-Clause
- Click ดูเฉลย If-Clause Type 0
- Click ดูเฉลย If-Clause Type 1
- Click ดูเฉลย If-Clause Type 2
- Click ดูเฉลย If-Clause Type 3
–
Chapter 1 : Part of Speech
Nounแบบฝึกหัดที่ 1คำนามหน้าตาแบบนี้เป็นประเภทไหนกันนะ ดูำศัพท์ที่ให้มา แล้วเติมคำตอบลงในช่องว่างเลย!Common Noun = 1, 2, 4, 5, 8, 9 Proper Noun = 3, 6, 7, 10Countable Noun = 2, 5, 9 Uncountable Noun = 1, 3, 4, 6, 7, 8, 10Singular Noun = 2, 4, 8, 9 Plural Noun = 1, 3, 5, 6, 7, 10
แบบฝึกหัดที่ 2ช่วยวงกลมคำนามในประโยค และบอกหน้าที่ของคำนามนั้นให้หน่อยนะ! Subject Object of Preposition(ตัวอย่าง) Hermione is known for her intelligence.
Subject Subject Complement1. His name is Harry. Object of Preposition Object of Preposition2. He lived with his uncle and aunt in England. Subject Direct Object3. Harry was invited to join a school. Subject Subject Complement4. This school is a magical school. Direct Object Object of Preposition5. He met Ron and Hermione on the train. Object Complement6. He introduced himself and said, “You can call me Harry”. Subject Subject Complement7. Ron and Hermione became Harry’s best friends. Subject Indirect Object Direct Object8. Ron gave Harry a sweater. Subject Subject Complement Object of Preposition9. Dolores is a professor at the school. Subject Direct Object10. Harry rides a broomstick very well.
Verb
แบบฝึกหัดที่ 1คำกริยาที่ขีดเส้นใต้ในประโยคต่อไปนี้เป็นคำกริยาประเภทไหนกันนะ กากบาทในช่องสี่เหลี่ยมที่ถูกต้องเลย!
1. My parents have just arrived at the airport.
- arrive (V.1) / arrived (V.2) / arrived (V.3) – เป็น Intransitive Verb (ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ) และ Regular Verb (ผันกริยาช่อง 2 และ 3 แบบปกติโดยการเติม -ed) ในข้อนี้ arrive (V.) ใช้ Present Perfect Tense ที่บอกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและจบไป หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง และยังส่งผลมาถึงปัจจุบัน จึงใช้โครงสร้าง S + have/has + V.3
- ทั้งนี้ arrive (V.) เป็น Intransitive Verb เพราะไม่ต้องมีกรรม (O) มารองรับสามารถอยู่ตัวเดียวได้ เช่น They have arrived. = พวกเขามาถึงแล้ว หากต้องการขยายเพิ่มว่ามาถึงที่ไหน สามารถเติมคำบุพบท (Prepo.) บอกสถานที่เข้าไปได้ เช่น They have arrived at the supermarket. = พวกเขามาถึงที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว
2. All students are sitting at the desk.
- sit (V.1) / sat (V.2) / sat (V.3) – เป็น Intransitive Verb (ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ) และ Irregular Verb (ผันกริยาช่อง 2 และ 3 แบบเปลี่ยนรูปไปไม่ได้เติม -ed) ในข้อนี้ sit (V.) ใช้ Present Continuous Tense ที่บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน จึงใช้โครงสร้าง S + is/am/are + V.ing
- ทั้งนี้ sit (V.) เป็น Intransitive Verb เพราะไม่ต้องมีกรรม (O) มารองรับ สามารถอยู่ตัวเดียวได้ เช่น The boy is sitting. = เด็กผู้ชายกำลังนั่งอยู่ หากต้องการขยายเพิ่มว่านั่งอยู่ที่ไหน หรือบนสิ่งของอะไร สามารถเติมคำบุพบท (Prepo.) บอกสถานที่เข้าไปได้ เช่น The boy is sitting in the classroom. = เด็กผู้ชายกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน หรือ The boy is sitting on the couch. = เด็กผู้ชายกำลังนั่งอยู่บนโซฟา
3. Nicole opened the birthday gift.
- open (V.1) / opened (V.2) / opened (V.3) – เป็น Transitive Verb (ต้องมีกรรมมารองรับ) และ Regular Verb (ผันกริยาช่อง 2 และ 3 แบบปกติโดยการเติม -ed) ในข้อนี้ open (V.) ใช้ Past Simple Tense ที่บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างสมบูรณ์แล้วในอดีต จึงใช้โครงสร้าง S + V.2
- ทั้งนี้ open (V.) เป็น Transitive Verb เพราะต้องมีกรรม (O.) มารองรับ ไม่สามารถอยู่ตัวเดียวได้ เช่น He opens the door for me. = เขาเปิดประตูให้ฉัน => the door ทำหน้าที่เป็นกรรม (O.) ของ open (V.) และในประโยค Nicole opened the birthday gift. = นิโคลเปิด/แกะของขวัญวันเกิด => the birthday gift ทำหน้าที่เป็นกรรม (O.) ของ open (V.)
4. James always asks the teacher a question.
- ask (V.1) / asked (V.2) / asked (V.3) – เป็น Transitive Verb (ต้องมีกรรมมารองรับ) และ Regular Verb (ผันกริยาช่อง 2 และ 3 แบบปกติโดยการเติม -ed) ในข้อนี้ ask (V.) ใช้ Present Simple Tense ที่บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำหรือพูดถึงโดยทั่วไปในปัจจุบัน จึงใช้โครงสร้าง S + V.1 (กริยาผันตามประธานเอกพจน์/พหูพจน์)
- ทั้งนี้ ask (V.) เป็น Transitive Verb เพราะต้องมีกรรม (O.) มารองรับเสมอ ไม่สามารถอยู่ตัวเดียวได้ โดยปกติแล้ว ask (V.) สามารถตามด้วยกรรมตรง (Direct Object) ที่เป็นสิ่งของ และกรรมรอง (Indirect Object) ที่เป็นคน ในประโยคเดียวกันได้เลยดังเช่นประโยคที่ให้มา ซึ่งคำกริยานี้มักใช้โครงสร้าง to ask someone (IO.) something (DO.) James asks the teacher a question. = เจมส์ถามคำถามกับคุณครู => the teacher เป็นกรรมรอง (IO.) และ a question เป็นกรรมตรง (DO.) ตัวอย่างเพิ่มเติม เช่น He asked me to join his team. = เขาขอให้ฉันเข้าร่วมกับทีมเขา => ask ในที่นี้แปลว่า ขอ, ร้องขอ ได้เช่นกัน และ me เป็นกรรมตรง (DO.) แต่ไม่ใช่กรรมรอง (IO.) นะ เพราะว่ากรรมรอง (IO.) จะมีหรือไม่มีใประโยคก็ได้ แต่กรรมตรง (DO.) ต้องมีเสมอ
5. My boyfriend gave me a watch.
- give (V.1) / gave (V.2) / given (V.3) – เป็น Transitive Verb (ต้องมีกรรมมารองรับ) และ Irregular Verb (ผันกริยาช่อง 2 และ 3 แบบเปลี่ยนรูปไป ไม่ได้เติม -ed) ในข้อนี้ give (V.) ใช้ Past Simple Tense ที่บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างสมบูรณ์แล้วในอดีตจึงใช้โครงสร้าง S + V.2
- ทั้งนี้ give (V.) เป็น Transitive Verb เพราะต้องมีกรรม (O.) มารองรับเสมอ ไม่สามารถอยู่ตัวเดียวได้ โดยปกติแล้ว give (V.) สามารถตามด้วยกรรมตรง (Direct Object) ที่เป็นสิ่งของ และกรรมรอง (Indirect Object) ที่เป็นคน ในประโยคเดียวกันได้เลยดังเช่นข้อที่แล้ว ซึ่งคำกริยานี้ก็ใช้โครงสร้าง to give someone (IO.) something (DO.) ด้วยเช่นกัน My boyfriend gave me a watch. = แฟนของฉันให้นาฬิกาข้อมือกับฉัน => me เป็นกรรมรอง (IO.) และ a watch เป็นกรรมตรง (DO.) ตัวอย่างเพิ่มเติม เช่น I gave an apple to a boy = ฉันให้แอปเปิลผลหนึ่งกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง => an apple เป็นกรรมตรง (DO.) และ a boy เป็นกรรมรอง (IO.)
1. I saw a cat climbing a tree. เป็น Irregular Verb เพราะกริยาช่องที่ 2 และ 3 เปลี่ยนรูปไปเลยเมื่อผันตามกาล (Tense) V.1 = see V.2 = saw V.3 = seen
2. Our family went to Phuket together last summer. เป็น Irregular Verb เพราะกริยาช่องที่ 2 และ 3 เปลี่ยนรูปไปเลยเมื่อผันตามกาล (Tense) V.1 = go V.2 = went V.3 = gone3. We watched a movie on Netflix. เป็น Regular Verb เพราะกริยาช่องที่ 2 และ 3 มีรูปแบบการเติม -ed เหมือนกันเมื่อผันตามกาล (Tense) V.1 = watch V.2 = watched V.3 = watched
4. Have you ever been to Cambridge? เป็น Irregular Verb เพราะกริยาช่องที่ 2 และ 3 เปลี่ยนรูปไปเลยเมื่อผันตามกาล (Tense) V.1 = be (is/am/are) V.2 = was/were V.3 = been
5. He has stayed with his grandmother for 2 years. เป็น Regular Verb เพราะกริยาช่องที่ 2 และ 3 มีรูปแบบการเติม -ed เหมือนกันเมื่อผันตามกาล (Tense) V.1 = stay V.2 = stayed V.3 = stayed
1. The dinner smells very nice. เป็น Linking Verb เพราะตามมาด้วยคำคุณศัพท์ (Adj.) ที่บ่งบอกลักษณะของประธานข้างหน้า (The dinner) ว่าเป็นอย่างไร2. He became the first love of my life. เป็น Linking Verb เพราะตามมาด้วยคำนาม (N.) ที่บ่งบอกว่าประธานข้างหน้า (He) เป็นใคร โดย became เป็น Past Tense ของ become นั่นเอง3. I should go now. เป็น Modal Verb เพราะ should + คำกริยาที่ไม่ผัน ไม่เติม (V. infinitive) คือ go ซึ่งเป็นไปตามกฎของการใช้ Modal Verb4. Lisa may write a letter to her idol tomorrow. เป็น Modal Verb เพราะ may + คำกริยาที่ไม่ผัน ไม่เติม (V. infinitive) คือ write ซึ่งเป็นไปตามกฎของการใช้ Modal Verb5. Jenny was my best friend during high school. เป็น Linking Verb เพราะตามมาด้วยคำนาม (N.) ที่บ่งบอกว่าประธานข้างหน้า (Jennie) เป็นใคร โดย was เป็น Past Tense ของ V. to be นั่นเอง
แบบฝึกหัดที่ 2Track 3เติมคำกริยาที่ได้ยินในประโยค และวงกลมเลือกประเภทของคำกริยานั้นให้หน่อยนะ!
(ตัวอย่าง) What time _____is_____ it now? (Main Verb | Helping Verb)ตอบ is เป็น Main Verb เพราะว่าในประโยคนี้มีกริยาอยู่ตัวเดียว ซึ่งหากขาด is ไปจะไม่เป็นประโยคที่สมบูรณ์และสื่อความหมายไม่ได้1. Do you know what time it is? (Transitive Verb | Intransitive Verb) ตอบ know เป็น Transitive Verb เพราะว่ามี wh-clause ที่ตามหลังมา คือ what time it is ซึ่งมีความหมายว่า เป็นเวลากี่โมง ทำหน้าที่ เสมือนกรรมของ V. know ความจริงแล้วนั้น know สามารถเป็นได้ทั้ง Transitive Verb และ Intransitive Verb แต่ขึ้นอยู่กับความหมาย ของแต่ละประโยค 2. Do you have the time? (Helping Verb | Main Verb) ตอบ Do เป็น Helping Verb เพราะว่าต้องใช้ V. to do ที่ทำหน้าที่เป็นคำกริยาช่วยมาช่วยสร้างประโยคคำถามเสมอ โดยคำกริยาช่วยนี้จะไม่มี ความหมายในตัวเอง แต่มี have เป็นคำกริยาหลัก (Main Verb) และมีความหมายว่า “มี” 3. Could you tell me the time? (Helping Verb | Modal Verb) ตอบ Could เป็น Modal Verb เพราะว่าเป็นคำกริยาช่วยชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถอยู่เดี่ยว ๆ หรือเป็นคำกริยาหลักในประโยคอย่าง Helping Verb อื่น ๆ (V. to be, V. to do และ V. to have) ได้ นอกจากนี้ Modal Verb + V. infinitive เสมอ ซึ่งในข้อนี้คือ Could + tell 4. Do you happen to have the time? (Main Verb | Linking Verb) ตอบ happen เป็น Main Verb เพราะว่าใช้ Do ซึ่งเป็น Helping Verb มาช่วยในการสร้างประโยคคำถามแล้ว สิ่งที่ขาดจึงเป็นคำกริยาหลัก (Main Verb) โดยเหตุผลที่ have ไม่ใช่ Main Verb เพราะว่าตามหลัง to ซึ่งเราเรียกคำกริยาประเภทนี้ว่า V. infinitive with to นั่นเอง 5. What time will the meeting start? (Main Verb | Modal Verb) ตอบ will เป็น Modal Verb เพราะว่าเป็นคำกริยาช่วยชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถอยู่เดี่ยว ๆ ได้ โดยคำกริยาหลัก (Main Verb) ของประโยคนี้คือ start 6. When will you come back home? (Main Verb | Modal Verb) ตอบ will เป็น Modal Verb เพราะว่าเป็นคำกริยาช่วยชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถอยู่เดี่ยว ๆ ได้ โดยคำกริยาหลัก (Main Verb) ของประโยคนี้คือ come 7. Have you got the time? (Regular Verb | Irregular Verb) ตอบ got เป็น Irregular Verb เพราะเป็นช่อง 2 และ 3 ของ get (ช่อง 3 สามารถเขียนได้ทั้งในรูป got และ gotten) ซึ่งไม่ได้ผันแบบเติม -ed แบบปกติ8. Sure, it is two thirty. (Linking Verb | Modal Verb) ตอบ is เป็น Linking Verb ไม่ใช่ Modal Verb เพราะสามารถอยู่เดี่ยว ๆ ได้ ไม่ต้องมีคำกริยาอื่นตามมา 9. It is almost ten. (Main Verb | Helping Verb) ตอบ is เป็น Main Verb (และอยู่ในกลุ่ม Linking Verb ด้วย) ไม่ใช่ Helping Verb เพราะไม่มีคำกริยาอื่นตามมา 10. Sorry, I do not have the time. (Main Verb | Helping Verb) ตอบ do เป็น Helping Verb เพราะว่าเป็นการนำ do มาช่วยในการสร้างประโยคปฏิเสธ โดยคำกริยาหลักในประโยคนี้คือ have
สั่งซื้อทาง Shopee
สั่งซื้อทาง Facebook
Adjectiveแบบฝึกหัดที่ 1Track 5 เขียนบรรยายลักษณะที่ได้ยินลงไปให้ถูกต้องเลย!
*ขีดเส้นใต้ = คำคุณศัพท์ (Adjective)*
1. My father is a tall man. (พ่อของฉันเป็นคนตัวสูง) He has short black hair and brown eyes. (พ่อมีผมสั้นสีดำและตาสีน้ำตาล) He isa funny and warm person. (พ่อเป็นคนตลกและอบอุ่น)
2.My mother is a slim woman. (แม่ของฉันเป็นผู้หญิงผอมเพรียว)She has long blonde hair and blue eyes. (แม่มีผมยาวสีบลอนด์และตาสีฟ้า)She is a beautiful and kind person. (แม่เป็นคนสวยและใจดี)
Read more : Pushing The Line – A Theoretical Approach to Raking a Karesansui Garden
3. My brother is a chubby boy. (น้องชายของฉันเป็นเด็กผู้ชายอวบ) He has very short brown hair and blue eyes. (เขามีผมสั้นมากสีน้ำตาลและตาสีฟ้า)He is an adorable boy. (เขาเป็นเด็กผู้ชายที่น่าเอ็นดู)
4.I am a lovely teenage girl. (ฉันเป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่นที่น่ารัก)I have shoulder-lengthbrown hair and green eyes. (ฉันมีผมยาวประบ่าสีน้ำตาลและตาสีเขียว)I am a nice and friendly person. (ฉันเป็นคนนิสัยดีและเป็นกันเอง)
5.KruDew is an English teacher. (ครูดิวเป็นคุณครูภาษาอังกฤษ)He has short black hair and dark brown eyes. (ครูดิวมีผมสั้นสีดำและตาสีน้ำตาลเข้ม)He is a funny and smart person. (ครูดิวเป็นคนตลกและฉลาด)
แบบฝึกหัดที่ 2เรียงคำคุณศัพท์ในประโยคต่อไปนี้ตามลำดับให้ถูกต้องกันเลย!(ตัวอย่าง) 0. I really love my cute little sister. (little, cute)cute = ความคิดเห็น little = ขนาด1. Our family lives in a simple small house. (simple, a, small) a = คำนำหน้านาม simple = ความคิดเห็น small = ขนาด2. My stepbrother enjoys spicy Thai food. (spicy, Thai) spicy = ความคิดเห็น Thai = สัญชาติ3. I used to try on a traditional Japanese Kimono when going to Japan. (a, Japanese, traditional) a = คำนำหน้านาม traditional = อายุ Japanese = สัญชาติ4. My fiancé gave me a large heart-shaped diamond ring. (a, diamond, heart-shaped, large) a = คำนำหน้านาม large = ขนาด heart-shaped = รูปร่าง diamond = วัสดุ5. Do you like these comfortable black leather boots? (black, leather, comfortable, these) these = คำนำหน้านาม comfortable = ความคิดเห็น black = สี leather = วัสดุ6. My grandmother always carries a tiny wooden walking stick. (walking, a, wooden, tiny) a = คำนำหน้านาม tiny = ขนาด wooden = วัสดุ walking = จุดประสงค์7. We donated these lovely flat pink running shoes to the kids. (lovely, these, flat, running, pink) these = คำนำหน้านาม lovely = ความคิดเห็น flat = รูปร่าง pink = สี running = จุดประสงค์8. This store sells a lot of gorgeous short modern cotton dress. (short, gorgeous, a lot of, cotton, modern) a lot of = คำนำหน้านาม gorgeous = ความคิดเห็น short = ขนาด modern = อายุ cotton = วัสดุ9. My father always wanted this beautiful vintage yellow British car. (British, this, vintage, beautiful, yellow) this = คำนำหน้านาม beautiful = ความคิดเห็น vintage = อายุ yellow = สี British = สัญชาติ10. My mother just bought expensive new red British woolen sweaters. (new, red, expensive, woolen, British) expensive = ความคิดเห็น new = อายุ red = สี British = สัญชาติ woolen = วัสดุ
Adverb of Mannerช่วยเติมคำที่ให้มาในกรอบสี่เหลี่ยมลงไปในประโยคให้ถูกต้องทีนะ!1. Q: Why do you think the boy is running? A: The boy is running quickly because he might be late for school. (เด็กผู้ชายวิ่งอย่างรวดเร็วเพราะว่าเขาอาจจะไปโรงเรียนสาย)2. Q: Do you know how long it has been raining? A: It has been raining hard since yesterday morning. It’s still raining cats and dogs today. (ฝนตกหนักมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าแล้ว วันนี้ก็ยังตกหนักมากอยู่)3. Q: Do you have any idea what the woman is doing? A: The woman is shopping and jumping excitedly because it is a mid-year sale at the department store. (ผู้หญิงคนนั้นกำลังชอปปิงและกระโดดอย่างตื่นเต้น เพราะเป็นช่วงลดราคากลางปีของห้างสรรพสินค้า)4. Q: What do you think Joe is doing on his day off? A: I think he is staying at home and lazily lying on the couch watching TV. (ฉันคิดว่าเขาคงอยู่ที่บ้านและเอนตัวอย่างขี้เกียจดูทีวีอยู่บนโซฟา)5. Q: What do you think about John speaking loudly on the phone? (คุณคิดอย่างไรที่จอห์นคุยโทรศัพท์เสียงดัง) A: I think he annoys other passengers on the train. (ฉันคิดว่าเขารบกวนผู้โดยสารคนอื่น ๆ บนรถไฟ)
Adverb of Placeดูภาพประกอบและนำ Adverb of Place ที่ให้มาในกรอบสี่เหลี่ยม ไปเติมในช่องว่างของแต่ละประโยคให้ถูกต้องกันเถอะ! (ตัวอย่าง) 0. The teacher is coming here. We have to run away! (คุณครูกำลังมาที่นี่ เราต้องวิ่งหนี)1. Would it be possible to meet you downstairs at 10 a.m.? (จะเป็นไปได้ไหมถ้าฉันจะขอเจอคุณที่ชั้นล่างตอน 10 โมง)2. There’s no school today, so I’m going outside for a walk. (วันนี้ไม่มีเรียน ฉันเลยจะออกไปข้างนอกเพื่อเดินเล่น)3. I’m coming nearby, so I wonder if you are available to meet me. (ฉันมาใกล้ ๆ เลยอยากรู้ว่าเธอสะดวกมาเจอกันไหม)4. I will be there in 5 minutes. Please come inside and wait in the living room. (ฉันจะไปที่นั่นในอีก 5 นาที กรุณาเข้ามาข้างในและรอในห้องนั่งเล่น)5. I will have an appointment with the international client overseas, so I’ll be out of office for a week. (ฉันมีนัดกับลูกค้าต่างชาติที่ต่างประเทศ เลยอาจจะไม่อยู่ออฟฟิศประมาณสัปดาห์หนึ่งนะ
Adverb of Timeเลือก Adverb of Time ในวงเล็บ 2 จาก 3 คำ ไปใส่ในตำแหน่งที่ถูกต้องของประโยคให้หน่อยนะ!(ตัวอย่าง) 0. My grandfather told me yesterday that he went to The Beatles’ concert 60 years ago. (ago, yesterday, later)คำอธิบาย
- ส่วนแรกตอบ yesterday (เมื่อวาน) เพราะ told เป็น V.2 ซึ่งใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต เราจึงไม่สามารถใช้ later ที่ต้องใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ และ ago นั้นต้องมีจำนวนเวลาบอก เช่น 2 days ago
- ส่วนท้ายตอบ ago (…ที่แล้ว) เพราะมีจำนวนเวลามาให้คือ 60 years ไม่สามารถตามด้วย yesterday หรือ later ได้
1. I haven’t seen you in ages. Would you like to come over for dinner tonight? (ago, in ages, tonight) คำอธิบาย
- ส่วนแรกตอบ in ages (เป็นเวลานาน) เพราะเป็นสำนวนที่มักจะพูดกันบ่อย ๆ ในความหมายว่า “ฉันไม่ได้เจอคุณมาตั้งนานแล้ว” ไม่สามารถใช้ ago ได้เพราะไม่มีจำนวนเวลาบอก และใช้ tonight ไม่ได้ เพราะพูดถึงเหตุการณ์ที่ดำเนินมาระยะหนึ่งตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่อนาคต
- ส่วนท้ายตอบ tonight (คืนนี้) เพราะทั้ง ago และ in ages พูดถึงเวลาในอดีต แต่ในประโยคเป็นการเชิญชวนให้ไปทานมื้อค่ำกันคืนนี้หลังจากที่ไม่เจอกันนาน จึงเป็นการพูดถึงเรื่องอนาคต
2. My friend asked me to go to Liverpool last week, but I was busy at that time. (later, at that time, last week) คำอธิบาย
- ส่วนแรกตอบ last week (สัปดาห์ที่แล้ว) เพราะคำกริยา asked เป็น V.2 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและจบไปแล้ว เราไม่สามารถใช้ at that time มาตอบในส่วนแรกได้เพราะยังไม่เคยมีการพูดถึงมาก่อนว่าเป็นตอนช่วงเวลาไหน และ later (ในภายหลัง) นั้นไม่เข้ากับบริบทเท่าไรเมื่ออ่านครบประโยค
- ส่วนท้ายตอบ at that time (ในเวลานั้น) เพราะอ้างอิงถึงส่วนแรกคือ last week
3. Are you leaving now? Would you like to have lunch together later? (later, already, now) คำอธิบาย
- ส่วนแรกตอบ now (เดี๋ยวนี้ / ตอนนี้) เพราะประโยคที่ให้มาเป็น Present Continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนั้นหรือช่วงนั้น ไม่สามารถใช้ later หรือ already ได้
- ส่วนท้ายตอบ later (หลังจากนี้) เพราะว่าเป็นการชวนไปทานข้าวกันทีหลัง แสดงว่าไม่ได้ทานอยู่ หรือไม่ได้ทานกันไปแล้ว จึงใช้ now และ already ไม่ได้
4. I haven’t sent you an invitation card yet, but I want you to join our party next month. (already, next month, yet) คำอธิบาย
- ส่วนแรกตอบ yet (ยัง) เพราะเป็น keyword ที่ใช้กับโครงสร้างประโยค Present Perfect Tense (has / have + V.3) แปลว่า “ฉันยังไม่ได้ส่งบัตรเชิญให้คุณเลย…” ซึ่งแม้ว่า already จะเป็น keyword สำหรับ Tense นี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถใช้ตอบได้ เพราะว่า already มีความหมายว่า …ไปแล้ว และไม่สามารถใช้กับประโยคปฏิเสธได้เพราะความหมายขัดแย้งกัน
- ส่วนท้ายตอบ next month (เดือนหน้า) เพราะเป็นการเชิญชวน ซึ่งเหตุการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้น
5. Do you think it will rain soon? How about going to the beach tomorrow instead? (soon, lately, tomorrow) คำอธิบาย
- ส่วนแรกตอบ soon (เร็ว ๆ นี้) เพราะ Tense ที่ปรากฏในประโยคคือ Future Simple Tense (will + V. infinitive) ซึ่งใช้กับ เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดในอนาคต จริง ๆ แล้ว tomorrow ก็สามารถใช้กับ Tense นี้ได้เช่นกัน แต่หากนำ soon ไปตอบที่ส่วนท้าย และนำ tomorrow มาไว้ที่ส่วนหน้าแทนแล้ว ความหมายจะไม่เป็นเหตุเป็นผลกัน ในขณะที่ lately (ช่วงนี้ / พักนี้) นั้นมักจะใช้กับ Present Perfect Tense (has / have + V.3) มากกว่า เช่น What have you been doing lately? แปลว่า “ช่วงนี้คุณทำอะไร อยู่เหรอ”
- ส่วนท้ายตอบ tomorrow (วันพรุ่งนี้) เพราะว่าในประโยคนี้ keyword คำว่า instead (…แทน) คือ “ทำไมเราไม่ไปที่ชายหาดกันใน วันพรุ่งนี้แทนล่ะ” หมายความว่าได้วางแผนเอาไว้แล้ว แต่เพราะฝนจะตกในเร็ว ๆ นี้ จึงจะไปวันพรุ่งนี้แทน
Adverb of Frequency นำ Adverb of Frequency ในวงเล็บไปใส่ในตำแหน่งที่ถูกต้องของประโยคให้หน่อยนะ!
คำอธิบาย ตำแหน่งของ Adverb of Frequency มักอยู่หลังประธาน (Subject) และหน้าคำกริยาหลัก (Main Verb) เข่นHe barely eats vegetables. (เขาแทบจะไม่กินผักเลย) แต่หากมี V. to be หรือ Linking Verb ในประโยค Adverb of Frequency มักจะตามหลังเสมอ เช่น She is always good to me. (หล่อนดีกับฉันเสมอ)(ตัวอย่าง) 0. My mother gets up at 7 a.m. (always) => My mother always gets up at 7 a.m.My mother (คุณแม่ของฉัน) = Subject, always (เป็นประจำ) = Adverb of Frequency, gets up (ตื่นนอน) = Main Verb1. I go to the game center after school. (usually) => I usually go to the game center after school. I (ฉัน) = Subject, usually (โดยปกติ) = Adverb of Frequency, go (ไป) = Main Verb2. Nana is late for work. She’s very punctual. (never) => Nana is never late for work. She’s very punctual. Nana (นานะ) = Subject, is = Linking Verb, never (ไม่เคย) = Adverb of Frequency และประโยคที่เสริมมาด้านหลัง เป็นคำใบ้เพิ่มเติมคือ She’s very punctual. (เธอเป็นคนตรงเวลามาก ๆ)3. Ken plays tennis because he’s been busy these days. (rarely) => Ken rarely plays tennis because he’s been busy these days. Ken (เคน) = Subject, rarely (แทบจะไม่) = Adverb of Frequency, play (เล่น) = Main Verb และอนุประโยคที่เสริมมาด้านหลัง เป็นคำใบ้เพิ่มเติมคือ because he’s been busy these days. (เพราะช่วงนี้เขายุ่ง)4. I watch dramas or series when I’m free. (often) => I often watch dramas or series when I’m free. I (ฉัน) = Subject, often (บ่อย ๆ) = Adverb of Frequency, watch (ดู) = Main Verb 5. I listen to music when I’m bored. (sometimes) => I sometimes listen to music when I’m bored. I (ฉัน) = Subject, sometimes (บางครั้ง) = Adverb of Frequency, listen (ฟัง) = Main Verb
Adverb of Degreeช่วยบอกหน่อยสิว่า Adverb of Degree ที่ขีดเส้นใต้ในประโยคต่อไปนี้ขยายคำไหนในประโยคกันนะ!
ขยาย Adv. (hard) ขยาย Adv. (well)(ตัวอย่าง) 0. Do you think I work hard enough to pass the exam? – Sure, you did quite well.(เธอคิดว่าฉันอ่านหนังสือหนักพอที่จะสอบผ่านหรือยัง) (แน่นอน เธอทำได้ค่อนข้างเยี่ยมเลย) ขยาย Adj. (big) ขยาย Adv. (well)1. Do you think these shoes are too big? – No, I think they fit you very well. (เธอคิดว่ารองเท้าคู่นี้ใหญ่เกินไปไหม) (ไม่นะ ฉันคิดว่าพอดีเป๊ะมากเลย) ขยาย Adj. (pretty) ขยาย Adj. (gorgeous) 2. That lady is really pretty. She looks like a star. – Couldn’t agree more. She is so gorgeous. (สุภาพสตรีคนนั้นน่ารักมาก เธอดูเหมือนดาราเลย) (เห็นด้วยที่สุด เธอสวยมาก) ขยาย Adj. (high-pitched) ขยาย Adj. (talented)3. My singing coach said I had extremely high-pitched voice. – Wow! You are absolutely talented. (ครูสอนร้องเพลงของฉันบอกว่าฉันมีเสียงที่สูงสุด ๆ) (ว้าว! เธอมีพรสวรรค์สุด ๆ เลย) ขยาย Adj. (correct) ขยาย Adj. (proud)4. I got 100 scores in Biology. The exam was entirely correct. – Perfect! I am totally proud of you. (ฉันได้ 100 คะแนนในวิชาชีววิทยาล่ะ ข้อสอบถูกต้องทั้งหมดเลย) (เยี่ยมมาก! ฉันภูมิใจในตัวเธอสุด ๆ เลย) ขยาย V. (finish) ขยาย Adj. (good)5. I almost finish my writing homework. There is only one paragraph left. – Great! You are such a very good student. (ฉันเกือบจะทำการบ้านวิชาการเขียนเสร็จแล้ว เหลือแค่อีกหนึ่งย่อหน้าเท่านั้น) (เยี่ยม! เธอช่างเป็นนักเรียนที่ดีมากเลย)
เฉลยแบบฝึกหัดรวมเรื่อง Adverb อ่านเนื้อเรื่องที่ให้มา ขีดเส้นใต้ Adverb ที่เจอในเรื่อง แล้วนำมาเขียนแยกใส่ตารางตามประเภทให้ทีนะ!
I usually get up at 7 a.m. to go to school nearby. Today, I woke up at 8 a.m. because it is Sunday. My mother cooked a very delicious omelet for me. She also eagerly handed me a glass of freshly squeezed orange juice. It was really refreshing so I drank it up completely. Later, we went outside because we needed to do some groceries. My mother carefully picked organic vegetables, but I spoke to myself quietly that I absolutely hated them. She accidentally heard me, so shekindly told me that she would buy some fruits for me instead.
Adverb of Manner
Adverb of Place
Adverb of Time
Adverb of Frequency
Adverb of Degree
eagerly (อย่างกระตือรือร้น)
freshly (อย่างสดใหม่)
carefully (อย่างระวัง)
quietly (อย่างเงียบ ๆ)
accidentally (โดยบังเอิญ)
kindly (อย่างใจดี)
instead (แทน)
nearby (ใกล้ ๆ)
outside (ข้างนอก)
Read more : What Size Is A Garden Hose Thread
7 a.m. (7 โมงเช้า)
Today (วันนี้)
8 a.m. (8 โมงเช้า)
Later (ทีหลัง / หลังจากนั้น)
usually (โดยปกติ)
very (มาก)
really (มาก / จริง ๆ)
completely (อย่างทั้งหมด / โดยสิ้นเชิง)
absolutely (อย่างแน่นอน / โดยสิ้นเชิง)
Pronounแบบฝึกหัดที่ 1ในประโยคมีสรรพนามที่ใช้ผิดอยู่ ช่วยแก้ไขสรรพนามนั้นให้ถูกต้องทีนะ!
(ตัวอย่าง) 0. Kathy has a dog. It fur is white. เปลี่ยนจาก it => its คำอธิบาย เป็น It ไม่ได้ เพราะส่วนประธาน (หน้าคำกริยา is) มีคำนาม (fur = ขนของสัตว์) มาให้แล้ว จึงต้องเปลี่ยนให้เป็น Its (Possessive Adjective) ที่ต้องตามด้วย N. เสมอ1. Is blue you favorite color? เปลี่ยนจาก you => your คำอธิบาย เป็น you ไม่ได้ เพราะประโยคที่ให้มานั้นหมายความว่า “สีฟ้าใช่สีโปรดของคุณไหม” จะเห็นว่ามีคำนาม (favorite color) ที่ให้มาแล้ว ฉะนั้นต้องเปลี่ยนเป็น your (Possessive Adjective) ที่ต้องตามด้วย N. เสมอ2. Those are your shoes, and these are me. เปลี่ยนจาก me => mine คำอธิบาย เป็น me ไม่ได้ เพราะประโยคจะหมายความว่า “โน่นคือรองเท้าของคุณ และนี่คือฉัน” แต่เรากำลังพูดถึงสิ่งของอยู่ ซึ่งก็คือรองเท้า ฉะนั้นต้องเปลี่ยนเป็น mine ที่แปลว่า (รองเท้า)ของฉัน เราไม่เปลี่ยนเป็น my เพราะว่า my (Possessive Adjective) จะต้องตามด้วย คำนาม (shoes) เสมอ แต่ mine (Possessive Pronoun ไม่ต้องมีคำนาม สามารถใช้เดี่ยว ๆ ได้ (เพราะผู้ฟังและผู้พูดรู้อยู่แล้วว่าสิ่งนั้น คืออะไร)3. Her likes my red skirt a lot. เปลี่ยนจาก Her => She คำอธิบาย เป็น Her ไม่ได้ เพราะ her เป็นได้สองอย่างคือ Object Pronoun (ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค) และ Possessive Adjective (ทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ ต้องตามด้วย N. เสมอ) การขึ้นต้นประโยคเป็นประธาน เราจะใช้ Subject Pronoun คือ She จึงจะถูกต้อง4. He loves to study by him. เปลี่ยนจาก him => himself คำอธิบาย เป็น him ไม่ได้ เพราะ him เป็น Object Pronoun ต้องอยู่ตามหลังคำกริยา (V.) เสมอ เช่น I love him. แต่ในข้อนี้ความหมายคือ “เขารักที่จะเรียนด้วยตนเอง” การทำบางสิ่งบางอย่างด้วยตนเอง เรามักใช้ Reflexive Pronoun เข้ามาช่วย ข้อนี้จึงต้องเปลี่ยนเป็น himself (ด้วยตัวของเขาเอง)5. I name is Pimmy. What about yours? เปลี่ยนจาก I => My คำอธิบาย เป็น I ไม่ได้ เพราะส่วนประธาน (หน้าคำกริยา is) มีคำนาม (name = ชื่อ) มาให้แล้ว และประธาน I จะใช้กับ am ใน Present Simple Tense จึงต้องเปลี่ยน I (Subject Pronoun) ให้เป็น My ที่ต้องตามด้วย N. แทน จึงเป็น My name (ชื่อของฉัน) ซึ่งสามารถตามด้วยคำกริยา is ได้ ส่วน yours ประโยคต่อมานั้นใช้ถูกต้องแล้ว เพราะต้องการถามว่า “แล้ว (ชื่อ) ของคุณคืออะไร”6. Would your like this trendy bag? เปลี่ยนจาก your => you คำอธิบาย เป็น your ไม่ได้ เพราะ your เป็น Possessive Adjective ต้องมี N. ตามหลังเสมอ ในข้อนี้ต้องเป็น you เพราะยังขาดประธานของประโยค และเรามักใช้โครงสร้างประโยค “Would you like…?” เพื่อสอบถามความต้องการว่า “คุณอยาก / ต้องการ…ไหม”7. Jen didn’t like the new laptop which she bought by hers. เปลี่ยนจาก hers => herself คำอธิบาย เป็น hers ไม่ได้ เพราะ her เป็น Possessive Pronoun ใช้กล่าวเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น That bag is hers. “กระเป๋าใบนั้นเป็น (กระเป๋า) ของหล่อน” แต่ในข้อนี้ความหมายคือ “เจนไม่ชอบแลปท็อปเครื่องใหม่ที่หล่อนซื้อด้วยตัวเอง” เป็นการเน้นการทำบางสิ่งบางอย่างด้วยตนเอง เราจึงมักใช้ Reflexive Pronoun เข้ามาช่วย ข้อนี้เลยต้องเปลี่ยนเป็น herself (ด้วยตัวของหล่อนเอง)8. I would like to introduce mine. เปลี่ยนจาก mine => myself คำอธิบาย ข้อนี้จะตอบ mine ได้ถ้าหากมีบริบทที่พูดถึงบางสิ่งมาก่อนแล้ว แต่ในข้อนี้หมายถึง “ฉันอยากจะแนะนำตัวเอง” เมื่อพูดถึงสิ่งที่ทำเองหรือเกี่ยวกับ ตัวเองเราต้องใช้ Reflexive Pronoun เข้ามาช่วย จึงเป็น introduce myself ที่หมายความว่า “แนะนำตัวเอง” ตัวอย่างเหตุการณ์ที่พบบ่อย เช่น เวลาสมัครงานที่มักจะเจอประโยคบอกให้คุณแนะนำตัวเอง อย่าง “Please introduce yourself.” นั่นเอง9. Last week, I went to the cinema with a friend of me. เปลี่ยนจาก mine => mine คำอธิบาย เป็น me ไม่ได้ เพราะ me คือ Object Pronoun แต่ในข้อนี้ต้องเป็น mine (Possessive Pronoun) เนื่องจาก of + Possessive Pronoun (a friend of mine = เพื่อนของฉัน) โดยมีความหมายเดียวกับ Possessive Adjective + N. (My friend) นั่นเอง10. Do their like our Christmas gift? เปลี่ยนจาก their => they คำอธิบาย เป็น their ไม่ได้ เพราะ their เป็น Possessive Adjective ต้องมี N. ตามหลังเสมอ ในข้อนี้ต้องเป็น they (Subject Pronoun) เพราะยังขาด ประธานของประโยค
แบบฝึกหัดที่ 2จงเติมคำสรรพนามลงในช่องว่างให้ถูกต้อง The teacher gave us homework to talk about (0.) our favorite things. My favorite things are (1.) my bed and my cell phone because (2.) I love to sleep and read online novels. I can stay by (3.) myself all day in the bedroom. My friend, Sarah, really likes collecting dolls. She bought them (4.) herself from the internet. (5.) Her dolls are all cute and fluffy. Sometimes, I bought (6.) them as a birthday present for her, too. David is another friend of (7.) mine / ours. He always takes a good care of(8.) his books. He wants to be able to speak many languages, so (9.) he likes reading books and watching foreign movies. They have helped him improve (10.) his language skills tremendously.
สั่งซื้อทาง Shopee
สั่งซื้อทาง Facebook
Prepositionแบบฝึกหัดที่ 1Track 13 ดูรูปภาพ และเติมคำตอบที่ได้ยินลงในช่องว่างเลย จุดหมายของแต่ละข้ออยู่ที่เลขไหนกันนะ
(ตัวอย่าง) 0. A : Excuse me, do you know how I can get to Big Ben from here? (ขอโทษนะคะ คุณรู้ไหมคะว่าจากที่นี่ฉันจะไปบิกเบน ได้อย่างไร)
B : Go straight toward the river and cross the Westminster bridge. Then, turn left. It is beside Westminster Abbey.(ตรงไปทางแม่น้ำแล้วก็ข้ามสะพานเวสต์มินสเตอร์นะครับ จากนั้นเลี้ยวซ้าย มันอยู่ข้าง ๆ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ครับ)
The destination is number _____4_____.1. A : Excuse me, could you tell me where the National History Museum is? (ขอโทษนะคะ ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่าพิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์แห่งชาติอยู่ที่ไหน)
B : Sure. Cross the Westminster Bridge and turn left at Westminster Abbey. Cross the intersection to Harrods. The National Museum is opposite Harrods and next to Victoria & Albert Museum.(แน่นอนครับ ข้ามสะพานเวสต์มินสเตอร์ไปแล้วเลี้ยวซ้ายที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์นะครับ ข้ามสี่แยกไปทางแฮร์รอดส์พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติอยู่ตรงข้ามกับแฮร์รอดส์และอยู่ถัดจากพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ตครับ)
The destination is number _____3_____.
2. A : Hello, could you help me? Do you know where the Sherlock Holmes Museum is? (สวัสดีค่ะ คุณช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ คุณรู้ไหมคะว่าพิพิธภัณฑ์เชอร์ล็อก โฮล์มส์อยู่ที่ไหน)
B : Of course. Go straight along the Birdcage Walk. Then, turn right at Trafalgar Square and cross the Main Road. The Sherlock Holmes Museum is between the Harry Potter Studio and Shakespeare’s Globe.(ได้สิครับ เดินตรงไปทางถนนเบิร์ดเคจวอล์ก จากนั้นเลี้ยวขวาที่ทราฟัลการ์สแควร์และข้ามถนนหลักไปพิพิธภัณฑ์เชอร์ล็อก โฮล์มส์ตั้งอยู่ระหว่างแฮร์รี่ พอตเตอร์สตูดิโอกับโรงละครเช็คสเปียร์โกลบครับ)
The destination is number _____1_____.
3. A : Excuse me, could you tell me the way to Buckingham Palace? (ขอโทษค่ะ คุณช่วยบอกทางไปพระราชวังบักกิงแฮม ให้ฉันได้ไหมคะ)
B : Certainly! Go straight ahead and take the second turn on the left. The Buckingham Palace is behind St. James’s Park.(แน่นอนครับ ตรงไปข้างหน้าแล้วก็เลี้ยวซ้ายตรงทางแยกที่สองนะครับ พระราชวังบักกิงแฮมอยู่ข้างหลังสวนสาธารณะเซนต์เจมส์ครับ)
The destination is number _____5_____.
4. A : Hi! Excuse me. I would like to go to the Tower of London. Could you please tell me how to get there? (สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะ ฉันอยากไปหอคอยแห่งลอนดอน คุณช่วยบอกฉันได้ไหมคะว่าจะไปที่นั่นได้อย่างไร)
B : Yes, of course. Take the South Road and turn left to cross the Tower Bridge. Continue straight and you will see it on your right. (ได้แน่นอนครับ ใช้ถนนเซาท์โรดและเลี้ยวซ้ายเพื่อข้ามสะพานทาวเวอร์บริดจ์ เดินตรงต่อไปแล้วคุณจะเห็นมันอยู่ทางขวาครับ)
The destination is number _____2_____.
แบบฝึกหัดที่ 2มาดูรูปภาพและเลือกคำตอบที่ถูกต้องกันเถอะ!
Source: https://gardencourte.com
Categories: Garden news